เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2567
เรื่อง อารมณ์วิมุตในพระนิพพาน
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติและความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน ปลดปล่อยความรู้สึกความเกาะความยึดในขันธ์ห้าร่างกายของเรา แยกรูปแยกนามแยกกายแยกจิต ปล่อยวางความคิด ความฟุ้งปรุงแต่ง ความกังวลทั้งหลาย ปล่อยวางภาระของใจ สติกำหนดรู้จดจ่ออยู่กับลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออก ลมหายใจสงบราบเรียบผ่องใส จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบายอารมณ์จิตสบาย เข้าถึงเอกัคคตารมณ์ เข้าถึงอุเบกขารมณ์ วางเฉยต่อทุกสิ่งที่เข้ามากระทบ จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย พักจิตอยู่กับความสงบ พักจากความฟุ้งปรุงแต่ง พักจากความทุกข์ความเร่าร้อนความเดือดเนื้อร้อนใจทั้งหลาย ปล่อยวาง วางลงจากใจของเรา อยู่กับลมหายใจละเอียดเบาสบาย จิตสงบเย็น
จากนั้นกำหนด ฝึกซักซ้อมกำลังใจในการปฏิบัติเดินจิตของเรา หยุดจิต หยุดการปรุงแต่ง ลมหายใจเข้าถึงความสงบระงับ เข้าถึงอุเบกขารมณ์ จิตเป็นหนึ่งเดียว หยุดจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง ในความนิ่งความหยุด เรากำหนดภาพนิมิต เห็นดวงจิตเป็นแก้วใส จากแก้วใสกลายเป็นเพชรประกายพรึก สว่าง จิตที่เป็นประกายพรึกเป็นจิตประภัสสรสว่าง มีเส้นรอบขอบเขตรัศมี มีความเป็นทิพย์ มีความเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ทรงอารมณ์ทรงสภาวะที่จิต เป็นเพชรประกายพรึกเป็นจิตประภัสสรเข้าถึงจิตอันมีความเป็นทิพย์นั้น ทรงอารมณ์ทรงสภาวะทั้งทรงภาพนิมิตปรากฏชัดเจน ทั้งกำหนดความรู้สึกสัมผัสถึงแสงรัศมีความสว่างเส้นแสงที่เปล่งประกายออกมาจากดวงจิต
กำหนดสติรู้ในอารมณ์ใจ ในสภาวะความอิ่ม ความสุข ในความเป็นทิพย์ของจิต กำหนดรู้ ว่าจิตของเรา เปล่งประกายรัศมีกระแสพลังแห่งความเป็นทิพย์กระจายออกรายรอบ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะไว้
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป กลางดวงจิตของเรา อาราธนาบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตเรามีความเคารพมีความนอบน้อมในพระรัตนตรัย คือพระพุทธองค์ คือพระธรรม คือพระอริยสงฆ์ กำหนดภาพองค์พระเป็นพุทธานุภาพ เป็นพุทธบารมี ประดุจพระพุทธองค์เสด็จมาประทับอยู่กลางจิตกลางใจของเรา ทรงภาพองค์พระไว้ภายในจิตภายในอกของเรา องค์พระอยู่ในดวงแก้วที่เป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ทรงอารมณ์ทรงภาพพระไว้ ตั้งกำลังใจว่า นับแต่นี้ ยามที่เรากำหนดทรงภาพพระ คือ พุทธานุสติกรรมฐาน จิตเราถึงกระแสของพระพุทธองค์ ประดุจพระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่กลางใจของเรา เราสามารถทรงอารมณ์ทรงภาพพระทรงสภาวะที่มีภาพพระพุทธองค์นี้เสด็จประทับอยู่ภายในอกของเราได้นานเท่านานเท่าที่เรากำหนดน้อมรำลึกนึกถึงท่านได้เสมอ ให้การทรงภาพพระนั้นเป็นเรื่องเบาๆสบายๆ ไม่ใช่เรื่องหนักไม่ใช่เรื่องยาก เข้าถึงองค์พระภายใน มีองค์พระภายในเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง
ทรงภาพพระไว้ ใจอิ่มเอิบเบิกบานนอบน้อมในพระรัตนตรัย สำหรับกำลังใจผู้ที่ฝึกผู้ที่ปฏิบัติจนจิตเข้าถึงกำลังของมโนมยิทธิ ตามคำที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ หากเราได้มโนมยิทธิและเราทรงภาพพระทรงอารมณ์ที่ทรงภาพนิมิตไว้ จะเป็นพระ 1 ฐานก็ดี หรือพระ 3 ฐานก็ดี หรือทรงอารมณ์ใจที่ยกอาทิสมานกายขึ้นไปอยู่บนพระนิพพานกับพระพุทธองค์ก็ดี ถึงเวลาบุคคลที่ทรงอารมณ์เช่นนี้ได้ และมีญาณเครื่องรู้ที่สามารถที่จะกราบทูลกราบสนทนากับพระพุทธองค์ในข้อธรรมต่างๆได้ การที่เราทรงภาพพระได้ตลอดเวลาเป็นปกติ ถึงเวลาเราก็จะสามารถที่จะเกิดญาณหยั่งรู้ในธรรม มีญาณหยั่งรู้สามารถที่จะกราบทูลกราบเรียนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมาธิจิตได้เป็นปกติ ซึ่งอันนี้ก็เป็นประสบการณ์ตรงจากการถ่ายทอดจากการปฏิบัติ อันนี้ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งสำคัญที่สุดของผู้ที่ปฏิบัติธรรมนั้น เราจำเป็นที่จะต้องไม่ประมาทในการปฏิบัติ มีความระมัดระวัง ก็คือ ต้องระมัดระวังอาการเฝือ อาการที่จิตแยกจากการปรุงแต่งจากกิเลสไม่ได้ ซึ่งจุดนี้พื้นฐานสำคัญอยู่ที่เราฝึกอุเบกขารมณ์มามากแค่ไหน เราอยากรู้มาก หรือใจกำหนดรู้แล้ววางอุเบกขา รอให้ญาณผุดรู้ขึ้นมาในจิต จำไว้ว่าสภาวะการผุดรู้ของญาณเครื่องรู้ 99%นั้นจะเกิดขึ้นจากสภาวะที่ใจเราเบาๆสบายๆ ไม่ได้มีความร้อนรน ไม่ได้มีการบีบคั้น ไม่ได้มีอารมณ์ของการรู้สึกกดดันหรือถูกทดสอบ อารมณ์สบายๆ ถึงเวลาสิ่งที่พึงรู้ก็ผุดรู้ขึ้นมาในจิต อันนี้คือสิ่งสำคัญข้อที่หนึ่ง คือ อารมณ์ใจในขณะที่รู้1
อันที่สอง ก็คือ ความสะอาดของจิต2 จิตของเราตัดร่างกายดีไหม ตัดขันธ์ห้าได้ละเอียดพอไหม นั่นก็แปลว่าจิตของเราแยกรูปแยกนาม มีความบริสุทธิ์มีความสะอาดของจิต ถ้าจิตของเราสะอาดทั้งจากนิวรณ์ห้า สะอาดจากอารมณ์ความรู้สึก ความคิด ที่เราเกาะเกี่ยวในขันธ์ห้าร่างกาย ญาณเครื่องรู้ก็มีความเที่ยงตรงมากกว่าในอารมณ์ที่เรายังเกาะกาย ยังมีความอยาก จำไว้ว่ากิเลสมันเกิดขึ้นเพราะการมีร่างกายนี้ อันนี้พิจารณาเข้าสู่ภาคของวิปัสสนาญาณ เหตุผลที่จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติในสมถะโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแยกกายแยกจิต หากเราปฏิบัติไม่ถึงจุดที่แยกกายแยกจิต แยกรูปแยกนาม แยกกายเนื้อกายทิพย์ออกไปจากกัน ความรู้สึกที่ว่าตัวเราไม่ใช่ของเรามันก็จะเป็นเพียงสัญญา แต่หากเราแยกรูปแยกนามแยกกายทิพย์ออกมาดูกายเนื้อ เราก็จะเห็นชัดเจนว่า มันเป็นจริงเช่นนั้น ที่ว่าเราไม่ใช่ร่างกายคือขันธ์ ห้า ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา และยิ่งเราตัดร่างกายได้มากเท่าไร สายโยงใยของจิตที่มันเกาะที่มันผูกพัน มันก็เล็กมันก็จาง เราก็จะยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้น
และอีกประการหนึ่งก็คือว่า ยามที่กิเลส คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง มันเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นเพราะการมีขันธ์ห้าร่างกาย อยากมีเสื้อผ้าสวยๆ ถ้าไม่มีร่างกาย เราอยู่ในสภาวะความเป็นทิพย์ เราจะเอาเสื้อผ้าไปทำไม อาหารที่มีรสชาติอร่อย ถึงเวลาถ้าเราอยู่ในสภาวะความเป็นกายทิพย์ เราจะเอาอาหารเอาของอร่อยไปกินทำไม หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นกิเลสกาม คือกามคุณที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลเพศตรงข้าม หากเราเป็นกายทิพย์มันก็ไม่ได้มีความสุขจากผัสสะจากกามคุณทั้งหลายที่เป็นความรู้สึกจากเพศตรงข้าม เพราะพอเป็นกายทิพย์ปุ๊บ มันไม่ได้มีผัสสะที่จะมารู้สึกถึงความสุขความรักระหว่างเพศ ดังนั้นเราลองพิจารณาดู เงินทองที่เราอยากได้ ถ้าเราเป็นกายทิพย์แล้ว ไม่มีกายเนื้อไม่มีขันธ์ห้า จะหยิบเงินก็ยังหยิบไม่ได้เพราะมันเป็นของหยาบเราเป็นของทิพย์ เอาไปซื้อเอาไปใช้อะไรก็ไม่ได้เพราะเราเป็นกายทิพย์เป็นเหมือนกับวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ เงินทองก็ใช้ไม่ได้ สิ่งที่อยากได้แทบตายก็เอาไปใช้เอาไปซื้อไม่ได้ สุดท้ายพิจารณาเมื่อไรที่เราแยกกายทิพย์ออกมาชัดเจนและพิจารณาเช่นนี้ เราจะเห็นอย่างกระจ่างแจ้ง ว่าสุดท้ายความรักโลภโกรธหลงทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นไปเพราะการมีร่างกายเนื้อ หรือแม้แต่ความโกรธ ความขัดเคือง ความไม่พอใจ คนเขามาตำหนิต่อว่ากายเนื้อเรา ว่าเป็นอย่างนั้นว่าเป็นแบบนี้ เราก็โมโหเพราะเรายึดว่าร่างกายขันธ์ ห้านี้เป็นของเรา ถ้าอารมณ์จิตของท่านที่เข้าถึงธรรม หรือมีสติอยู่ในธรรมขณะนั้น เราก็จะพบว่าเขาด่าขันธ์ห้า เขาด่าร่างกายที่เป็นกายหยาบ ไม่ได้ด่าคือจิตของเรา ดังนั้นสุดท้ายที่เราโกรธที่เราโมโหก็เพราะว่าไม่พอใจ หรือแม้แต่มีคนมาตำหนิว่าเราตัวเหม็น ไอ้ตัวเหม็นมันเหม็นจากอะไร มันเหม็นจากขันธ์ห้ากายเนื้อ ถ้าไม่มีกายเนื้อมันก็ไม่เหม็น เขาก็ด่ากายเนื้อเรา เราเผลอมีอาการทางร่างกาย เช่นตด ตดออกมามีกลิ่นเหม็นคนดุคนว่า เขาด่าเขาว่าก็ด่าว่ากายเนื้อ แล้วเราก็ลองพิจารณาดู แล้วสุดท้ายมันจริงไหม
หรือแม้แต่อาการความสกปรก ที่มันเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นจากขันธ์ห้า ร่างกาย ดังที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้เสมอว่าให้พิจารณาว่า “ร่างกายนี้มีทวาร ทวารทั้งหลายล้วนแต่เป็นที่หลั่งไหลออกมาจากสิ่งที่เป็นปฏิกูล” รูขุมขนก็มีขี้ไคล ทวารจมูกก็มีน้ำมูกมีขี้มูก ทวารปากก็มีน้ำลายมีเสมหะ ทวารหนักทวารเบาก็มีอุจจาระปัสสาวะ รูขุมขนทั่วร่างกาย ศีรษะก็มีขี้รังแค ผิวหนังก็มีขี้ไคล สรุปความแล้วทั่วร่างกาย มันก็มีสิ่งปฏิกูลหลั่งไหลออกมา ร่างกายจริงๆจึงอยู่ในสภาวะที่เป็นอสุภ คือ เป็นของที่ไม่สวยงาม อยู่ในสภาวะที่เป็นสิ่งปฏิกูล ก็คือ ของที่เป็นของโสโครกของไม่สะอาด ร่างกายอยู่ในสภาวะที่เป็นรังของโรคนั่นก็คือทุกส่วนอวัยวะทุกส่วนอาการทั้ง 32 ล้วนแต่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายมีความเสื่อมกันทั้งสิ้น เราพิจารณาเช่นนี้ จนกระทั่งจิตมันจะจืดมันจะจางลงจากความเกาะความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ห้าร่างกายของตัวเราและบุคคลอื่น ถ้าพิจารณาในอสุภสัญญา พิจารณาในความเป็นรังของโรค ในภาพในภพของเพศตรงข้ามมันก็จะเป็นตัวลดกามราคะ ความกำหนัดของจิตที่มีต่ออารมณ์ทางเพศให้เบาบางลง อันนี้ก็คือเป็นสิ่งที่เราพึงพิจารณาในสิ่งที่เราอาจจะมีข้อติดขัด เราเกาะยึดกับขันธ์ห้าร่างกายนี้เลยยึดเกาะกับขันธ์ห้าของเพศตรงข้าม ผลมันก็จะมีแตกต่างไป เกาะสิ่งไหนเราก็ละสิ่งนั้น สิ่งที่เรารักที่สุดเกาะที่สุดห่วงที่สุด ให้เราฝึกที่จะพิจารณาตัด ปล่อยวาง เป็นคนที่ยังติดในรสชาติอาหารมากๆ เราก็พยายามพิจารณา พิจารณาว่าถ้าเราตายไปจากชาตินี้เราจะไปพระนิพพาน เราจะไม่ได้กินของสิ่งนี้ที่เราติดใจที่สุดเรายอมตัดได้ไหม ถ้ายอมตัดไม่ได้มันก็กลายเป็นว่าตายไปแล้วเราก็เกิดใหม่ เพราะอยากเกิดมามีร่างกายเนื้อเพื่อที่จะได้มากินของที่เราชอบ หรือบางครั้ง บุคคลหลายคน ซึ่งหลายคนก็อาจจะมีประสบการณ์ ตายไปแล้วเสียไปแล้วแต่อารมณ์จิตยังมีความอาลัยในของ ในของกินนี่แหละ มาเข้าฝันญาติพี่น้องลูกหลานว่าอยากกินนั่นอยากกินนี่ จริงๆถามว่าพอเป็นกายทิพย์มันกินได้ไหม ตายไปแล้ว เป็นผีเป็นวิญญาณไปแล้ว มันก็กินไม่ได้ แต่อารมณ์ความอยากของเดิมของเก่ามันชินกับอารมณ์นั้น มันก็ปรารถนาที่จะให้ทำบุญสิ่งนั้นไปให้ แต่ถามว่ากินสิ่งนั้นได้ไหม ก็กินไม่ได้ อันนี้ก็คือความยึดติด
เราฝึกที่จะปล่อยวาง รักสิ่งไหน ตัดสิ่งนั้น วางสิ่งนั้น ฝึกที่จะวาง ถ้าไม่ฝึกเลย จิตมันตัดไม่ได้ จิตมันปล่อยไม่ได้ สุดท้ายการปฏิบัติทั้งหลาย วสีก็คือการทำการฝึกการทบทวนอารมณ์ ยิ่งฝึกซ้ำมากเท่าไร ทวนมากเท่าไร ฝึกบ่อยเท่าไร จิตมันยิ่งกลายเป็นความชำนาญเชี่ยวชาญจนกระทั่งเกิดสภาวะที่เรียกว่า “กลไกอัตโนมัติ” สามารถปล่อยวางได้ทันทีสามารถปล่อยวางได้เลย
อย่างจริงๆเวลาที่เราฝึกในวิชาต่อสู้ป้องกันตัว ฝึกชก ชกลมให้ได้วันละพันหมัด วันละหมื่นหมัด ตอนแรกต้องตั้งใจฝึก ฝึกชกไปเรื่อยๆจนกระทั่งร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่ต้องตั้งใจที่จะชก ถึงเวลาสัญชาตญาณความทรงจำของกล้ามเนื้อมันชกไปโดยอัตโนมัติ จิตเราก็เช่นกัน กำหนดจิตยกไปพระนิพพานทุกวันเป็นอัตโนมัติเป็นปกติ ถึงเวลาตายเมื่อไรจิตก็ยกไปยังพระนิพพานได้เป็นปกติ อันนี้สำหรับคนที่ฝึก พอมีวสี พอฝึกร้อยครั้งฝึกพันครั้ง ทุกวันยกจิตไปพระนิพพานไม่เคยขาด ทำจนกระทั่งจิตเขาชินกับการยกไปพระนิพพาน ฝึกจนกระทั่งจิตเกิดธรรมะฉันทะกับพระนิพพาน มีความรู้สึกเกาะยึดตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่มีความรู้สึกว่าอยากไปภพอื่นภูมิอื่นอีกต่อไป อันนี้ก็ทำจนกระทั่งจิตเขาเข้าถึงความเป็นธรรมชาติความเป็นอัตโนมัติ อันนี้ถึงเป็นความสำคัญที่เราจำเป็นต้องทบทวนจะต้องฝึกซ้ำไปเรื่อยๆ คนที่เข้าใจก็จะเข้าใจ คนที่ไม่เข้าใจอาจจะมองว่าทำอะไรซ้ำๆซากๆน่าเบื่อ ทำไมไม่ไปเที่ยวที่นั่น ทำไมไม่ไปฝึกที่นี่
จำไว้ว่าอันที่จริงกรรมฐานสูงสุดที่ถือว่าเป็นสุดยอด ที่จะทรงผลที่ทำให้จิตเราไปพระนิพพานได้ในชาตินี้ก็คือ ฝึกแยกกายแยกจิต ใช้อาทิสมานกายไปที่พระนิพพานไว้ทุกวัน จนกระทั่งจิตเขาเกาะกับพระนิพพาน เกิดความรัก เกิดความผูกพันอยู่กับพระนิพพาน คือ จิตนั้นไม่มีความสนใจอาลัยใยดีกับภพอื่น ภพนั้นก็ไม่เอา ภพนี้ก็ไม่เอา กลับมาเป็นมนุษย์ก็ไม่เอา กลับมาพบมาเจอสิ่งที่เคยรักเคยชอบก็ไม่เอา เพราะเราเกาะอยู่จุดเดียวคือพระนิพพาน อันนี้ก็ถือว่าจิตเป็นเอกัคคตารมณ์กับพระนิพพาน คือจิตเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน คนที่เข้าใจก็จะเข้าใจ คนที่ไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจ ขึ้นอยู่กับกำลังบารมีปัญญาบารมีเต็มก็จะเข้าใจ
ดังนั้นกุศโลบายในแต่ละอิริยาบถในแต่ละวัน ในกิจวัตรของแต่ละวัน เราก็หาเหตุที่จะยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานในทุกวัน ตื่นปุ๊บยกจิตขึ้นพระนิพพาน กินข้าวยกข้าวถวายพระบนพระนิพพาน ระหว่างวันนึกได้ทรงอารมณ์บนพระนิพพาน ก่อนนอนกำหนดจิตปล่อยวางตัดร่างกาย พิจารณาความตาย ปล่อยวางทุกสิ่ง ตัดภพจบชาติ ยกจิตขึ้นบนพระนิพพาน ทำแบบนี้ทุกวันไม่เคยขาดเป็นนิจ ถึงเวลาอย่างไรก็ไปพระนิพพานได้ พอขึ้นไปบนพระนิพพานแล้ว จุดสำคัญก็คือ พิจารณาตัดซ้ำ คือตัดร่างกายซ้ำ ตัดกิเลสซ้ำ ตัดภพชาติซ้ำ เดินจิตทรงอารมณ์พิจารณาถึงอารมณ์ “วิมุตในพระนิพพาน” คือ อารมณ์พระนิพพานอุปมานุสติกรรมฐาน ว่าอารมณ์จิตที่เราจบกิจแล้ว อารมณ์จิตที่ภาระทั้งหลายจบแล้ว อารมณ์จิตที่กรรมทั้งหลายไม่อาจติดตามให้ผลกับเราได้อีกต่อไปแล้ว ใจเราเป็นอิสระจากความเกาะในสังสารวัฏในภพทั้งหลาย อารมณ์มันว่างวางเบาอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์เช่นนี้ไว้ตลอดยาวนาน จนจิตไม่มีความปรารถนาที่จะไปภพใดภูมิใด
ตอนนี้ก็ให้เราทรงอารมณ์ทบทวน ยกอาทิสมานกายเป็นกายพระวิสุทธิเทพขึ้นไปบนพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นั่งสมาธิทรงอารมณ์ทวนอารมณ์พระนิพพาน พิจารณาไล่อารมณ์ของเราเอง ปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางสิ่งที่เราเกาะที่เรายึดที่เราชอบที่เราผูกพันทั้งปวง ขึ้นมาแล้วฝึกญาณแปดบนพระนิพพานได้ก็ฝึก ฝึกดูอดีตชาติของตัวเราเองว่าเราเกิดมากี่ภพกี่ชาติ ดูจบแต่ละชาติก็อโหสิกรรม ดูจบแต่ละชาติก็พิจารณาว่าเบื่อการเกิดหรือยัง เบื่อการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏหรือยัง ดูเพื่อละ ดูเพื่อวาง ดูเพื่อให้เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ภาพภพชาติที่ผุดรู้ขึ้นมาในจิต รู้เพื่อละ รู้เพื่อวาง ดูให้ครบ กำหนดรู้เพื่อให้ผุดรู้ขึ้นมาในจิต ทรงสภาวะความเป็นกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน ดูให้หมดไม่ว่าสิ่งที่เกิดเป็นสิ่งที่ดี คือเคยเกิดเป็นพระราชา เคยเกิดเป็นลูกเจ้า เคยเกิดเป็นกษัตริย์ เคยเกิดเป็นเทวดา เคยเกิดเป็นพรหม ดูให้หมด แล้วก็ดูที่มันไม่ดี เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานไหม เคยตกนรกไหม เคยเกิดเป็นเปรตอสุรกายไหมด้วยเหตุของกรรมอะไร บุญก็พิจารณาให้รู้เหตุว่าเหตุที่ได้ไปจุติเป็นเทวดาเป็นพรหมด้วยเหตุอะไร กระจ่างในธรรม กระจ่างในการเวียนว่าย กระจ่างในภพชาติ พิจารณาจนจิตมันเริ่มคลายจากการเวียนว่ายตายเกิด
พิจารณาดูแล้วก็ดูต่อไป ถ้าเราไม่ไปนิพพานชาตินี้ ยังมีกรรมที่รออยู่ข้างหน้าอีกเยอะไหม กำหนดรู้ของเราเอง มีวิบากที่เราเคยทำไว้ แต่ยังไม่ได้ส่งผลยังไม่ได้ใช้กรรม ยังอยู่ในคิวที่รอให้ส่งผลอยู่ มีไหมมากน้อยเพียงใด มีเจ้ากรรมนายเวรที่เขาดักรอมาพบมาเกิดมาเอาคืนกับเราเยอะไหม ถ้ายังเกิดต่อไปจะเป็นยังไง พิจารณาต่อไปว่าถ้าเราไม่ฝึกไม่เจริญพระกรรมฐาน หรือไม่พบเจอพระพุทธศาสนา ห้วงเวลากาลเวลาภพชาติแห่งการเกิดในสังสารวัฏนี้ของเรามันจะยาวนานเพียงใด มันหาที่สุดได้ไหม ถ้าพิจารณาให้ดีเราก็จะพบว่า เราปฏิบัติมาถึงจุดนี้ เราเห็นด้วยตัวเราเองจากการเจริญวิปัสสนาญาณ ว่าอย่างน้อยที่สุดถึงแม้สำหรับบางคนที่อาจจะยังไม่คิดว่าจะไปนิพพานชาตินี้ แต่ปฏิบัติมาได้ถึงขั้นนี้ ขอการันตีรับรองว่าอย่างน้อยที่สุดภพชาติมันสั้นมันหายไปเยอะ เอาแค่เราฝึกเมตตาอันไม่มีประมาณ เราอโหสิกรรมไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร ชาติภพที่เราจะต้องไปเกิดไปเจอไปจองเวรไปเอาคืนกับบุคคลอื่นอีกหลายหมื่นหลายแสนดวงจิต มันก็หดสั้นไปหลายล้านล้านภพชาติ เฉพาะจุดนี้ก็มากมายมหาศาล หรือหากตั้งกำลังใจเริ่มปรารถนาพระนิพพาน อารมณ์ใจยังไม่เข้มข้น หรืออารมณ์ใจบางคนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ชาติภพจากหลายล้านล้านล้านล้านชาติหรือไม่มีประมาณเป็น Infinity ก็ลดลงมาอย่างเต็มที่เหลือแค่ เจ็ดชาติบ้าง สามชาติบ้าง ชาติเดียวบ้าง มันคนละเรื่อง มันคนละระดับกันกับคนที่เขายังหาบั้นปลายที่สุดของสังสารวัฏไม่ได้ วัฏฏะยังไม่จบสิ้นยาวนานอย่างหาที่สุดไม่ได้ ดังนั้นจงพิจารณาให้ดีเถิด ว่าเราได้มาปฏิบัติได้มาเจริญพระกรรมฐานเป็นบุญใหญ่แค่ไหน เป็นโชคดีแค่ไหน ทำให้ชาติภพมันสั้นลงได้มากมายมหาศาลขนาดไหน ที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า “ภาวนามันเป็นบุญใหญ่ เป็นบุญมากมายมหาศาล” เราต้องกระจ่างแจ้งด้วยตัวเราเองว่าด้วยเหตุที่ทำให้ชาติภพมันสั้นลงนี่แหละ คือบุญใหญ่อย่างยิ่ง จบกิจได้เร็วขึ้นคือบุญใหญ่อย่างยิ่ง ดังนั้นการปฏิบัติของเราก็จงตั้งกำลังใจไว้เสมอว่า ขอให้ชาติภพของเรานั้นมันสั้นลง ธรรมะที่เราปฏิบัตินั้น มุ่งลัดตัดตรงสู่มรรคผลพระนิพพาน ไม่อ้อมค้อมเนิ่นนานเสียเวลาเยิ่นเย้อไป มุ่งลัดตัดตรงยกจิตขึ้นพระนิพพาน นั่นก็คือเร็วที่สุด แล้วพิจารณาตัดกิเลสบนพระนิพพานนั่นแหละ
ตอนนี้ให้เราแต่ละบุคคลพิจารณา ดูด้วยตัวเราเอง ว่าแต่เดิมชาติภพเรายาวไหม มีวิบากรอแค่ไหน ตอนนี้มันเบาบางลงเยอะแค่ไหน ระยะกาลแห่งสังสารวัฏมันหดสั้นลงมากแค่ไหน หรือกำลังใจเราตอนนี้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ นั่นก็คือยิ่งสั้นอย่างที่สุดแล้ว เร็วที่สุดแล้ว ยิ่งพิจารณาเห็นกรรมกระแสของกรรม วิบากที่มารอเจ้ากรรมนายเวรที่จอง เราก็ยิ่งเห็นภัยในสังสารวัฏ เห็นทุกข์เห็นวิบากที่รอ ดังนั้นบุคคลที่มีปัญญาก็จะสะดุ้งในภัยทั้งหลายของสังสารวัฏ สะดุ้งในมรณกาลที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสปัจฉิมโอวาท ว่าจงอย่าประมาท
นั่นก็คือ บางคนไม่ได้เร่งรัดการปฏิบัติ มัวแต่เกี่ยงว่าถึงเวลาอายุเยอะๆแก่ๆค่อยปฏิบัติ ก็ปรากฏว่าพอแก่จะไปปฏิบัติจริง หนึ่ง สังขารร่างกายมันก็ไม่เอื้ออำนวยกับการปฏิบัติที่จะมานั่งขัดสมาธินานๆบ้าง ไปปฏิบัติที่มันเข้มข้นอุกฤษฏ์หรือไปในที่ที่มันลำบาก สังขารมันก็ไม่เอื้ออำนวย เวทนามันก็เกิดมากกว่าที่จะเข้าสู่สมาธิ
ข้อต่อมาก็คือ รอให้แก่ๆค่อยฝึก ปรากฏว่าระหว่างนั้นก็ไม่ได้สะสมหรือฝึกฝนที่จะปล่อยวาง มันกลายเป็นว่ายิ่งแก่มากเท่าไร แต่ละวันเราก็ฝึกเก็บ เก็บรัก เก็บโลภ เก็บโกรธ เก็บหลงเข้ามาในใจ ไม่ได้ฝึกวาง เก็บมาแบกหนักเข้า หนักเข้า ถึงเวลาไม่เคยฝึกวาง พอให้มาวางตอนแก่มันวางไม่ลง เพราะจิตมันฝึกที่จะเก็บ เก็บเอาคำพูดเขามาปรุง เก็บเอาความอยากความหลงเข้ามาไว้ในใจ ดังนั้นมันก็กลายเป็นว่าการปฏิบัติมันชินกับอารมณ์ที่เป็นกิเลสมากกว่า ดังนั้นใครก็ตามที่ฝึกที่ปฏิบัติตั้งแต่อายุน้อยถือว่าเป็นบุญ ถือว่าบุคคลนั้นโชคดีอย่างยิ่ง ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งมีความเข้าใจ ยิ่งมีญาณทัศนะละเอียดกว้างไกลมากเท่าไร จะยิ่งสะดุ้งตกใจในภัยของสังสารวัฏที่เขามารออยู่
ตอนนี้ก็ให้เราพิจารณาดูว่า เราประมาทไหม เราพิจารณาเริ่มเห็นไหม ถ้าพิจารณาเห็น กำลังใจที่เราจะเร่งรัดในการปฏิบัติหรือมีความเพียรความสม่ำเสมอก็จะเพิ่มขึ้น ตอนนี้ก็ให้เราพิจารณาดูของเราเองแต่ละบุคคลว่าจริงไหม พิจารณาดู ตั้งอารมณ์ใจในการพิจารณาอยู่บนพระนิพพานไว้ พิจารณาไล่ตั้งแต่ วิบากที่เราทำในชาตินี้ พิจารณาด้วย จุตูปปาตญาณว่าถ้าเรายังเกิดอยู่เราต้องเสวยวิบากอะไรบ้าง แล้วก็พิจารณาต่อในอตีตังสญาณ ในบุพเพนิวาสานุสสติญาณว่า แล้วมันยังมีวิบากต่างๆจากอดีตชาติที่เราเคยทำไว้ที่มันยังไม่ส่งผล ยังรอให้ผลในอนาคตกาลอีกมากเท่าไร พอพิจารณาแล้วก็ให้สะดุ้งตกใจว่า เราพึงที่จะชิงตัดไปพระนิพพานชาตินี้น่าจะดีที่สุด พิจารณาด้วยปัญญาให้เห็น ในขณะที่มีชีวิตชาตินี้ก็อธิษฐาน ว่าเราตั้งใจจะสร้างบุญสร้างกุศลความดี แล้วก็อธิษฐานจิตให้ใจเราเกาะอยู่กับกุศล ยามที่ยังมีชีวิตอยู่ชาตินี้ยังไม่ไปนิพพาน ก็ขอให้กุศลความดีส่งผลทันใจ บุญใหญ่ส่งผลก่อน กุศลส่งผลทันใจ จิตเราเกาะจิตเราแนบอยู่กับกุศลความดี ดึงดูดกุศลความดีในอดีตชาติให้มาส่งผลรวมตัว อันนี้ก็คือวิธีแก้ บุญส่งผลทันใจ บุญใหญ่ส่งผลก่อน แล้วกำลังใจอีกอย่างในระหว่างที่เรามีชีวิตก็คือ ถ้าเราตั้งจิตปรารถนาในพระนิพพานเป็นที่สุด เราก็ตั้งใจว่าบุคคลอื่นที่เขายังไม่ได้ปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ เขาก็ทำทานทำบุญไว้เป็นเสบียงไว้เลี้ยงตัว คือเป็นเสบียงติดตัวไป เป็นอาหาร เป็นบุญ เป็นกุศลในการเดินทางของสังสารวัฏ ให้ชาติภพต่อๆไปนั้นเกิดในที่ที่เป็นสุคติภูมิ แต่สำหรับบุคคลที่ตั้งจิตไปพระนิพพานชาตินี้ เราต้องตั้งกำลังใจว่า กุศลที่เราทำนั้น ทานที่เราทำ บุญที่เราทำ เราทำเพื่อเป็นเหตุปัจจัยให้เราเข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุด
ทานบารมีเป็นไปเพื่อสละเพื่อพระนิพพาน
ศีลที่รักษาเป็นไปเพื่อปิดอบายภูมิ เพื่อเป็นธรรมอันตัดสังโยชน์ เพื่อเข้าถึงพระนิพพาน
ภาวนาที่ปฏิบัติไม่ได้ปฏิบัติเพื่ออภิญญาเพื่อฤทธิ์เพื่อเดช ปฏิบัติเพื่อตัดสรรพกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน ญาณทั้ง 8 คือญาณทัศนะ อตีตังสญาณ ปัจจุบันสญาณ อนาคตังสญาณ เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ ญาณทั้งหลายในอาทิที่กล่าวถึง เป็นเครื่องมือเครื่องช่วย เป็นอุปกรณ์ที่เราไว้ประกอบเครื่องรู้ของจิตในการตัดกิเลส รู้เพื่อละ รู้อยู่เพื่อตัด รู้เพื่อให้จิตตัดปล่อยวางได้ เพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ถ้าเมื่อไรที่เราตั้งกำลังใจไว้เช่นนี้ เราจะไม่เป๋จะไม่หลุดจากกุศลจากความดี ไม่หลุดทางไม่เป๋จากกระแสของสัมมาทิฐิ ไม่เป๋ไปจากกระแสของโลกุตระ
กำหนดอธิษฐานในใจ การปฏิบัติทาน ศีล ภาวนาของข้าพเจ้า ขอให้เป็นไปเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” เราไม่หลุดไม่เป๋ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อให้คนเขาสรรเสริญ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเติมเพื่อพอกมานะทิฐิ เราปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน กำลังใจเราต้องตรวจสอบกำลังใจเราเสมอ อย่างเวลาอาจารย์แนะนำสมาธิพานำสมาธิ ก็ต้องทดสอบตรวจสอบกำลังใจตัวเอง เป็นไปเพื่อปรารถนาให้บุคคลที่เราแนะนำสมาธิเขาเข้าถึงธรรมเข้าถึงความดีของพระพุทธองค์ ธรรม ความดีของครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์ที่สอนสืบต่อมาจนถึงรุ่นเรา สอนให้เขาเข้าถึงพระนิพพาน สอนให้เขารู้จักผิดชอบชั่วดี อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นสิ่งที่ควร อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ควร อะไรคือสิ่งที่ต้องระวัง ดังนั้นกำลังใจที่สอนบริสุทธิ์พระท่านก็สงเคราะห์ถ่ายทอดกระแสธรรมมาให้
ดังนั้นธรรมก็จะเกิดความศักดิ์สิทธิ์เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือพิจารณาแล้วไตร่ตรองเห็นจริงตามธรรมนั้น ฟังธรรมนั้นแล้วจิตเข้าถึงมรรคเข้าถึงผลได้อย่างอัศจรรย์ เข้าถึงฌาน เข้าถึงญาณ เข้าถึงความสงบของจิตได้อย่างอัศจรรย์ อันนี้เรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์
ดังนั้นสุดท้ายแล้วทุกสิ่งในการปฏิบัติ อยู่ที่การตั้งกำลังใจของเรา บางคนมาฝึกมโนมยิทธิ ฝึกเพราะอยากได้ฤทธิ์ได้เดช สุดท้าย 99% ก็เป๋ สุดท้ายก็เสื่อม สุดท้ายก็หายเพราะไปหลง แต่ถ้าเมื่อไร ธงชัยของเราปักมั่นคง ว่าเราปักธง ว่าปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ได้มโนมยิทธิก็เพื่อที่จะแยกกายเนื้อกายทิพย์แยกรูปแยกนาม ฝึกเพื่อยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน ฝึกเพื่อขึ้นมาปฏิบัติตรงกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครูบาอาจารย์บนพระนิพพาน ถ้ากำลังใจเราตรงเช่นนี้ การปฏิบัติเราก็ตรงก็ก้าวหน้าขึ้นตามลำดับไปในที่สุด อันนี้ก็ให้เราพิจารณาดูว่าจริงหรือไม่จริง ไตร่ตรองได้ด้วยปัญญาของตน พิจารณาดูจนกระทั่งจิตของเราหนักแน่นมั่นคงในธรรมไม่หวั่นไหว พิจารณาไตร่ตรองในความเป็นสัมมาทิฐิของตนให้ได้ กำลังใจเราปฏิบัติเพื่อสิ่งใด เป้าหมายในการปฏิบัติของเราเพื่อสิ่งใด
สำหรับวันนี้เราก็ปฏิบัติพอสมควร พยายามหมั่นทบทวน พยายามขยันที่จะเดินจิตทรงอารมณ์เข้าถึงการปฏิบัติธรรมให้ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องให้ผู้อื่นมาพาทำพานำ สุดท้าย “อัตตาหิ อัตโนนาโถ” ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน และธรรมะทั้งหลายนั้น ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก พระพุทธองค์ทรงตรัสก็คือท่านสอนท่านอธิบายให้ฟัง แต่บุคคลที่จะนำพาจิตตนเข้าสู่พระนิพพาน ก็คือเจ้าของจิตดวงนั้นเอง
ดังนั้นตัวเราต้องขยันหมั่นเพียรในการฝึก ต้องตั้งใจปฏิบัติด้วยตนเอง ยิ่งขยัน สิ่งที่ยากก็กลายเป็นง่าย ถ้ายิ่งขี้เกียจ สิ่งที่ยากก็ยากอยู่นั่น ดังนั้นตั้งกำลังใจในปรารภในความเพียรของการปฏิบัติ ปรารภในความมุ่งตรงสู่มรรคผลพระนิพพานของจิต และความสำเร็จความเจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมก็จะเจริญในจิตของเราทุกคน
น้อมจิตกราบพระพุทธองค์ กราบครูบาอาจารย์ กราบพระอรหันต์ทุกๆพระองค์ กราบพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ด้วยความนอบน้อมด้วยความเคารพและความกตัญญูกตเวทิตารู้คุณท่าน จนจิตของเราเกิดความเอิบอิ่ม ความผ่องใส ความสว่าง ความยินดีปราโมทย์ในธรรม
จากนั้นจึงแผ่เมตตาลงมายังภพภูมิทั้งหลายนับตั้งแต่ อรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น สวรรค์ อากาศเทวดาทั้ง 6 ภูมิเทวดารุกเทวดาทั้งปวง แผ่เมตตาลงมายังสรรพสัตว์ มนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายหยาบกายเนื้อทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาให้กับโอปปาติกะสัมภเวสี มิติที่ทับซ้อนทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาให้กับบรรดาเปรตอสุรกายทั้งหลาย แผ่เมตตาให้กับบรรดาสัตว์นรกในทุกขุม
จากนั้นจึงกำหนดจิตแผ่เมตตาอันไม่มีประมาณจากพระนิพพาน ยังสามภพภูมิอีกครั้งหนึ่ง สว่าง จิตเราเป็นผู้ที่ปราศจากการเบียดเบียน จิตเราเป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏในทั้ง 3 ภพ 3 ภูมิ จิตเรามีเมตตาอันไม่มีประมาณ
จากนั้นน้อมจิตน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังโลก ลงมายังประเทศไทย ลงมายังดินแดนสุวรรณภูมิ ขอบุญส่งผลอัศจรรย์ บุญทั้งหลายกรรมฐานทั้งหลายที่สาธุชนพุทธบริษัท 4 ปฏิบัติไว้ดีแล้ว ทาน ศีล ภาวนา การสร้าง การอนุรักษ์ซ่อมแซมศาสนวัตถุ พระพุทธรูป พระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ พระมหาธาตุเจดีย์ไว้ในเขตพระพุทธศาสนา การเจริญพระกรรมฐาน การรักษาศีล การบวชเนกขัมมะ ขอให้บุญทั้งหลายของสาธุชนพุทธบริษัท 4 จงรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน และสะท้อนย้อนกลับรวมลงมาสู่โลกมนุษย์ บุญทั้งหลายจงหนุนนำให้เข้าสู่ยุคชาววิไลโดยอัศจรรย์โดยพลันโดยเร็วด้วยเถิด
น้อมกระแสบุญอธิษฐานลงมาคุ้มครองเขตพระพุทธศาสนา อย่าได้มีภยันอันตราย
น้อมกระแสกุศลจากพระนิพพานปกป้องสาธุชนผู้ปฏิบัติธรรมจากอวิชชาจากอกุศลจิตจากมารทั้งหลาย ขอเทพพรหมเทวาผู้เป็นสัมมาทิฐิคุ้มครองรักษาทุกดวงจิต
จากนั้นอธิษฐานขอกระแสบุญกุศลน้อมลงมาเป็นฉัตรแก้วกำแพงแก้ว 7 ชั้น พิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ตลอดไปจนถึงบุคคลที่มีจิตบริสุทธิ์ ในการสร้างคุณูปการคุณประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง ผู้ที่มีจิตมีกำลังใจปกป้องประเทศชาติบ้านเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขอกำลังบุญจงรักษา เทพพรหม พระเสื้อเมือง พระหลักเมือง พระทรงเมือง พระสยามเทวาธิราช จงพิทักษ์รักษาบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นรวมถึงข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด
จากนั้นอธิษฐานน้อมกระแสกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ น้อมกระแสจากพระนิพพานเป็นแสงสว่างเป็นลำแสงลงมา คลุมกายเนื้อทั้งหมด ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ฟอกอวิชชาคุณไสย ฟอกมิจฉาทิฐิออกไปจากกาย วาจา ใจ ของเรา ขันธ์ห้าสะอาดบริสุทธิ์หมดจดด้วยกระแสแห่งกุศล กระแสแห่งพระนิพพาน กระแสแห่งบุญ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ใสเป็นแก้ว โครงกระดูกใสเป็นแก้ว เส้นเลือดเส้นเอ็นทั้งหลายใสเป็นแก้ว อาการ 32 ทั่วกายใสเป็นแก้ว จิตผ่องใสบริสุทธิ์ บุญคุ้มครองรักษา กำลังบุญจงเป็นเกราะแก้วกำแพงแก้ว 7 ชั้น จงเป็นมหาสะท้อน ไม่มีอกุศลใด ไม่มีอวิชชาใด ไม่มีกระแสมิจฉาทิฐิที่จะมากระทำอันตรายจิตอันตั้งมั่นอยู่กับมรรคผลพระนิพพาน จิตอันมีไตรสรณะคมน์อย่างยิ่งยวด
กำหนดเห็นกายและจิตกลายเป็นแก้วใสสว่างเจิดจ้าสว่างเปล่งประกายไปทั่วจักรวาล จิตเรายิ่งเอิบอิ่มผ่องใส เจริญกายเจริญสุขทั้งทางโลกทางธรรม
จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าออกพุทโธ หายใจเข้าออกธรรมโม หายใจเข้าออกสังโฆ ตั้งจิตอธิษฐานขอให้มีความเจริญในธรรม โมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคนที่ปฏิบัติธรรมเจริญพระกรรมฐานร่วมกันเป็นอภิจิตเป็นกำลังบุญใหญ่ บุญทั้งหลายสานรวมเป็นหนึ่งเดียวรวมบุญอยู่ที่พระนิพพาน และขอให้กระแสแห่งพระนิพพาน หลั่งไหลลงมาสู่จิตของสาธุชนทุกคน ให้บุญกุศลทั้งหลายก่อให้เกิดสามัคคีธรรมในหมู่ชนทั้งหลาย ในชาติ ในแผ่นดิน ในพระพุทธศาสนา
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน อย่าลืมที่จะเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานไว้เสมอ พยายามตั้งกำลังใจที่จะยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานหรือทรงภาพพระไว้ให้ได้เป็นปกติ ถึงเวลายิ่งปฏิบัติ อารมณ์จิตยิ่งแนบอยู่กับพระนิพพาน แนบอยู่กับพระพุทธองค์มากเท่าไร กระแสธัมมานุปัสสนามหาสติกรรมฐาน ธรรมก็จะผุดรู้ ธรรมที่ถ่ายทอดโดยตรงจากพระพุทธองค์ก็จะผุดเกิดขึ้นมาในจิตเราทันท่วงทีต่อทุกสิ่งที่เรากระทบใจ ดังนั้นยิ่งทรงอารมณ์แนบเท่าไร พึงเร่งการปฏิบัติ แต่รักษาอารมณ์ให้มันเบาให้มันเอิบอิ่มให้มันผ่องใส ไม่ตึงเกินไป
สำหรับวันนี้ก็ขอฝากไว้เพียงเท่านี้ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ
สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ Ladda